Last updated: 12 ม.ค. 2566 | 7025 จำนวนผู้เข้าชม |
ชั้นผิวหนัง เปรียบเสมือนส่วนที่ห่อหุ้มเนื้อเยื่อไขมันและกล้ามเนื้อทั้งหมด เมื่ออายุมากขึ้นกระบวนการเหล่านี้มักจะช้าลง ทั้งด้วยปัจจัยภายในและภายนอก สภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตของเรา ล้วนเป็นสาเหตุทำให้ผิวหย่อนคล้อย จากหน้า V กลายเป็นหน้า U ได้โดยไม่ทั้งตั้งตัว ผิวหนังส่วนนี้จึงจะต้องมีความแข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อดึงรั้งทุกส่วนให้อยู่คงที่ แต่จะทำได้อย่างไรนั้น! คือการกระตุ้นคอลลาเจนและอิลาสตินให้ทำงานอยู่เสมอ
วิธีการกระตุ้นให้คอลลาเจนและอิลาสติน สามารถทำได้หลายแบบ เช่นการใช้เข็ม Needle RF ส่งผ่านความร้อนสู่ชั้นผิวหนัง วิธีการนี้ช่วยกระตุ้นได้ดี แต่จะเกิดสะเก็ดบางๆหลังการรักษาช่วงอาทิตย์แรก การใช้ sub ablative RF พลังงานที่ลงไปตื้นกว่า ใช้จำนวนการรักษามากกว่า แต่หลังทำจะเกิดสะเก็ดใหญ่กว่าเป็นที่สังเกตุได้ง่าย การใช้ mono-polar RF หรือ Thermage® ที่รู้จักกันดี ด้วยความร้อนที่ลงลึกถึง 2.7-3.0 mm ทำไห้เกิดการหดตัวและการสร้างตัวไหม่ ด้วยการรักษาเพียงครั้งเดียว ไม่ทำให้เกิดบาดแผล และผลลัพท์อยู่ได้ยาวนาน 8-12 เดือน นอกจากาการใช้เครื่องมือยังสามารถใช้ การฉีด botulinum toxin หรือสาร B0T0X® สะกิดเบาๆ เพื่อกระตุ้นการหดตัวของชั้นผิวหนัง ช่วยให้ผิวยกขึ้นได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกใช้วิธีการต่างๆ ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคลด้วย
ชั้นไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ปัญหาที่หลายคนอาจรู้จักในชื่อเล่นว่า แก้มป่อง หรือเหนียง คือไขมันสะสมที่กำจัดออกยาก การออกกำลังกายหรือวิธีการโดยทั่วไปอาจไม่ช่วยนัก ส่วนใหญ่จึงเลือกจะใช้วิธีการฉีดสารเข้าไปช่วยกระตุ้นการสลายไขมันออกตามกระบวนการธรรมชาติ ที่คุ้นเคยกันในชื่อ Meso Fat หรือแม้กระทั่งการทำศัลยกรรมผ่าตัดกระพุ้งแก้ม ในกรณีที่ความกระชับของผิวยังดีอยู่ ก็สามารถเลือกใช้วิธีนี้ปรับหน้าให้ v ได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่หากกำจัดไขมันออกแล้ว ผิวหนังยังขาดความกระชับ ไม่สามารถเข้ารูปได้ ยังหย่อนคล้อยอยู่ดี.. ความจริงแล้ว สาเหตุนั้นมาจาก ชั้นผิวที่คอยพยุงไขมันไว้กับกล้ามเนื้อ หรือผิวชั้น smas ทำหน้าที่คล้ายกับตะเข็บของชั้นผิว ที่คอยยึดไขมัน ต่อสู้กับแรงโน้มถ่วง เป็นส่วนที่ลึกจนครีมบำรุงไม่สามารถลงถึง สิ่งที่เกิดขึ้นคือผิวจะหย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วง ทำให้เกิดปัญหาริ้วรอย รอยตีนกา รอยย่นหน้าผาก ร่องมุมปาก หรือร่องน้ำหมาก
ฟังดูหน้าฉันทำไมทั้งแก่และโบราณขนาดนี้ ! ในกรณีที่เป็นเยอะมาก การแก้ไขคือการผ่าตัดครับ เพราะอย่างที่บอกว่ามันทำหน้าที่เป็นตะเข็บคอยดึงรั้ง เราก็ต้องไปทำไห้เกิดการดึงรั้งใหม่ แต่ถ้าในกรณีเป็นไม่หนักมาก อายุยังไม่เยอะมาก ไม่อยากพักฟื้นนาน และไม่อยากเสี่ยงกับแผลเป็น ปัจจุบันมีเครื่องที่ยกกระชับผิวได้โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด คือการใช้ focus ultrasound ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทั้งวงการแพทย์ผิวหนัง อย.ไทย และ อย. สหรัฐ นั่นก็คือ Ultherapy® เครื่องนี้สามารถช่วยในการยกชั้นไขมันขึ้น แบบยกแผงเลยทีเดียว เพราะพลังงานลงไปลึกถึงชั้น smas เข้าไปกระตุ้นได้ตรงจุด ใบหน้าจึงกระชับ เข้ารูป กลับมา v shape ได้แล้วครับ
ต่อมาก็คือส่วนของชั้นกล้ามเนื้อ แล้วครับ การปรับรูปหน้าในส่วนกล้ามเนื้อแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือกล้ามเนื้อ Massester เป็นกล้ามเนื้อที่ยึดระหว่างโหนกแก้มและขากรรไกร ช่วยในการเคี้ยวอาหารครับ เราจะใช้สาร botulinum toxin เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อ ให้กล้ามเนื้อหดตัวลง ใช้เวลาประมาณ 1 -2 เดือนเพื่อไห้เห็นผลที่ชัดเจน
คำถามที่หมอเจอบ่อยเกี่ยวกับการฉีดสาร botulinum toxin? จะเคี้ยวข้าวได้ไหม? พูดปกติไหม? หรือสารจะตกค้างไหม? ก็จะขอตอบไปไปทีละข้อเลยนะครับ สามารถเคี้ยวข้าวได้ปกติครับ เพราะเราใช้กล้ามเนื้อเคี้ยวอาหารถึงสี่มัด แต่ทำงานน้อยลงไปหนึ่งมัด จึงยังมีมัดอื่นทำงานได้อยู่ ในช่วงสองอาทิตย์หลังฉีดอาจจะรู้สึกเมื่อยกรามไวขึ้น เวลาเคี้ยวอาหารเท่านั้นเองครับ และไม่ค่อยมีผลกับการแสดงสีหน้า หรือการพูดหรือออกเสียงครับ ส่วนเรื่องตกค้างนั้นลืมไปได้เลยครับ เพราะสารโบท็อกที่ใช้ในการปรับรูปหน้า จะมีอายุในการลดขนาดกล้ามเนื้อที่ 6-8 เดือนเท่านั้นครับ คนไข้ส่วนใหญ่อยากไห้มันออกฤทธิได้นาน ทำได้คือต้องเข้ามาเติมบ่อยๆครับ
ส่วนกล้ามเนื้ออีกมัดหนึ่งที่ช่วยแต่งรูปหน้าของเรา ให้โครงหน้าหรือดูกระชับ มีกรอบหน้าคมแบบ นายแบบนางแบบทั้งหลายได้คือกล้ามเนื้อ Platysma เป็นกล้ามเนื้อที่ยึดบริเวณแนวเหนือขากรรไกรไปจนถึงไหปลาร้า ฉะนั้นฉีดโบท้อกเพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อมัดนี้ จะทำไห้เห็นแนวกรอบหน้าและขากรรไกรชัดขึ้น ทำไห้โครงหน้าชัดและยกกระชับผิวส่วนล่างของใบหน้าได้ครับ
ทั้งหมดที่หมอเล่ามา เป็นส่วนหนึ่งในการปรับรูปหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่าโครงหน้าแบบอื่นจะไม่สวยนะครับ เพราะแต่ละโครงหน้ามีลักษณะเฉพาะที่สวยงามในแบบของตัวเอง เรายังจะเห็นว่า ดารา นางแบบ นายแบบ ล้วนมีโครงหน้าที่หลากหลาย เป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล แต่มีความมั่นใจ มีความสามารถ และจิตใจที่งดงาม จึงจะเป็น 'ความงามที่แท้จริง' ครับ (ขอจบแบบนางงามนิดนึงครับ)
-------------------------
ขอขอบคุณ หมอโจ๊ก นพ.ศิริพงษ์ ศิริพร ณ ราชสีมา
22 ก.พ. 2564